ฐานการเรียนรู้ : ผักปลอดสารพิษ
ประวัติส่วนตัว
นายจุ่น ช้อนทอง เกิด พ.ศ. 2476 อายุ 74 ปี เชื้อชาติไทย สัญชาติไทย เกิดที่บ้าน 181 หมู่ 12 ตำบลป่าขะ อำเภอบ้านนา จังหวัดนครนายก วุฒิการศึกษา จบ ป.4 โทรศัพท์ 037-306374
ประวัติครอบครัว
สมรสกับนาง ปั่น ช้อนทอง อายุ 66 ปี อาชีพ ทำสวน มีบุตร จำนวน 2 คน ชาย 1 คน หญิง 1 คนได้แก่นายประจวบ ช้อนทอง นางสมจิตร เจริญสุข
ข้อมูลการประกอบอาชีพ
อาชีพดั้งเดิม ประกอบอาชีพทำนา โดยมีพื้นที่ทำนา จำนวน 40 ไร่ ในการประกอบอาชีพทำนาในอดีตที่ผ่านมา ประสบปัญหาขาดทุน การทำนาต้องลงทุนสูง และลงแรงงานมาก จึงหันมาประกอบอาชีพปลูกพืชสวนครัวล้มลุก ซึ่งก่อให้เกิดรายได้และพัฒนาการปลูกพืชที่ทนต่อโรคแมลง และเป็นไม้ยืนต้นใช้ประโยชน์ที่ได้จากการเก็บยอดเพราะเป็นการลงทุนเพียงครั้งเดี่ยวและสามารถเก็บผลผลิตได้ระยะยาว พืชที่ปลูกได้แก่ ต้นส้มงวง ต้นมันปู ต้นมะกอก ต้นเสม็ด ต้นแต้ว โดยไม่ใช้ยาฆ่าแมลง ความสำเร็จและความภาคภูมิใจ ผู้บริโภคปลอดภัยจากผลผลิตที่นำไปขายยังท้องตลาด และเป็นต้นแบบของการเผยแพร่ความรู้ในการประกอบอาชีพอีกรูปแบบหนึ่งให้กับชุมชนหลักปัญญาเศรษฐกิจพอเพียงที่ยึดถือปฏิบัติ โดยยึดหลักของความพอประมาณ คือการประกอบอาชีพโดยใช้พื้นที่ที่มีอยู่อย่างคุ้มค่า ใช้แรงงานในครอบครัว ไม่ปลูกมากจนเกินแรงงานหลักคุณธรรม 8 ประการที่ยึดถือปฏิบัติ หลักคุณธรรม ที่ยึดถือและปฏิบัติ ภูมิปัญญาท้องถิ่นเป็นผู้มีความขยันเพียรพยามทำงานอย่างจริงจัง ต่อเนื่องในเรื่องที่ถูกที่ควรไม่ท้อถอย รักงานที่ทำ ด้านความประหยัดเป็นผู้ที่ดำเนินชีวิตเรียบง่ายตามแนวปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง คิดก่อนใช้ รู้จักเก็บออม ถนอมใช้ทรัพย์สินอย่างคุ้มค่า ความซื่อสัตย์ ต่อหน้าที่ และอาชีพของตนเอง อย่างจริงใน ไม่เอาเปรียบผู้บริโภคไม่ใช้เล่ห์กลคดโกงทั้งทางตรงและทางอ้อม รับรู้หน้าที่ของตนเอง ปฏิบัติอย่างเต็มที่และถูกต้อง เป็นผู้มีวินัยประพฤติตนตามกฎเกณฑ์ของสังคม และประเทศชาติ มีความสุภาพอ่อนน้อมถ่อมตน ตามสถานการณ์และกาลเทศะ วางตนเหมาะสมตามวัฒนธรรมไทย สะอาดทั้งร่างกาย ที่อยู่อาศัย สิ่งแวดล้อมได้อย่างถูกต้องตามสุขลักษณะ มีความแจ่มใสอยู่เสมอ เป็นที่เจริญตาและสบายใจแก่ผู้พบเห็น ความสามัคคีมีใจเปิดกว้าง รับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน แก้ปัญหา ขจัดความขัดแย้ง มีเหตุผลยอมรับความแตกต่าง ความหลากหลายทางวัฒนธรรม ความคิด ความเชื่อ พร้อมปรับตัวเพื่ออยู่ร่วมกันอย่างสันติ มีน้ำใจรู้จักแบ่งปัน เสียสระความสุขส่วนตนเพื่อประโยชน์แก่ผู้อื่นลงมือปฏิบัติเพื่อบรรเทาปัญหาร่วมสร้างสรรค์สิ่งที่ดีงาม
ประวัติส่วนตัว
นายประจวบ ช้อนทอง เกิดวันที่ 18 ธันวาคม 2507 อายุ 43 ปี เชื้อชาติไทย สัญชาติไทย
เกิดที่บ้าน 181 หมู่ 12 ตำบลป่าขะ อำเภอบ้านนา จังหวัดนครนายก วุฒิการศึกษา จบชั้นมัธยมศึกษาปี่ที่ 5
ประวัติครอบครัว
สมรสกับ นางมณี ช้อนทอง อาชีพ ทำสวน มีบุตร จำนวน 2 คน
ข้อมูลการประกอบอาชีพ
อาชีพดั้งเดิม ประกอบอาชีพทำนาร่วมกับบิดา โดยมีพื้นที่ทำนา จำนวน 40 ไร่ ในการประกอบอาชีพทำนาในอดีตที่ผ่านมา ประสบปัญหาขาดทุน การทำนาต้องลงทุนสูง และใช้แรงงานมาก จึงหันมาประกอบอาชีพปลูกพืชสวนครัวล้มลุก ซึ่งก่อให้เกิดรายได้และพัฒนาการปลูกพืชที่ทนต่อโรคแมลง และเป็นไม้ยืนต้นใช้ประโยชน์ที่ได้จากการเก็บยอดเพราะเป็นการลงทุนเพียงครั้งเดี่ยวและสามารถเก็บผลผลิตได้ระยะยาว พืชที่ปลูกได้แก่ ต้นส้มงวง ต้นมันปู ต้นมะกอก ต้นเสม็ด ต้นแต้ว โดยไม่ใช้ยาฆ่าแมลง แรงบันดาลใจในการประกอบอาชีพ เกิดจากได้รับคำแนะนำจากผู้อื่น และเกิดแนวคิดจากต้นเองในเรื่องการวิเคราะห์ความต้องการของตลาดความสำเร็จและความภาคภูมิใจ ผู้บริโภคปลอดภัยจากผลผลิตที่นำไปขายยังท้องตลาด และเป็นต้นแบบของการเผยแพร่ความรู้ในการประกอบอาชีพอีกรูปแบบหนึ่งให้กับชุมชน และสร้างความอบอุ่นในครอบครัว ด้านการพัฒนาการปรำกอบอาชีพ “จากพืชล้มลุกพัฒนาเป็นไม้ยืนต้นตัดใบขนาดเล็กสู่การพัฒนาอาชีพที่มั่นคง ยั่งยืน”หลักปัญญาเศรษฐกิจพอเพียงที่ยึดถือปฏิบัติ โดยยึดหลักของความพอประมาณ คือการประกอบอาชีพโดยใช้พื้นที่ที่มีอยู่อย่างคุ้มค่า ใช้แรงงานในครอบครัว ไม่ปลูกมากจนเกินแรงงาน โดยการสร้างความสมดุลของการดำรงชีวิตหลักคุณธรรม 8 ประการที่ยึดถือปฏิบัติ หลักคุณธรรม ที่ยึดถือและปฏิบัติ ได้แก่การปฏิบัติตนอยู่บนพื้นฐานของความซื่อสัตย์ ต่อตนเองและมีความซื่อสัตย์ต่อผู้อื่น มีความสามัคคี และมีความขยันตั้งใจประกอบอาชีพ
โครงสร้างของหลักสูตร
ฐานการเรียนรู้ภูมิปัญญาท้องถิ่น เรื่อง ผักปลอดสารพิษ ตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง และคุณธรรม 8 ประการ ณ บ้านทุ่งกระโปรง หมู่ที่ 12 ตำบลป่าขะ อำเภอบ้านนา จังหวัดนครนายก
รายละเอียดเนื้อหาหลักสูตร ตามการถ่ายทอดของภูมิปัญญา
1. ขั้นเตรียมความพร้อมสู่การประกอบอาชีพ “ ผักปลอดสารพิษ “ ตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง และหลักคุณธรรม 8 ประการ
1.1 การเตรียมคน โดยการวิเคราะห์ตนเอง พบว่าตัวเองมีประสบการณ์ ในเรื่องการประกอบอาชีพทำนา และการปลูกพืชผัก เวลาว่างจากช่วงฤดูทำนา ประกอบกับมีความสนใจในเรื่องการปลูกพืช
1.2 การเตรียมความรู้
โดยการเรียนรู้จากประสบการณ์ตรง และการศึกษาค้นคว้าด้วยต้นเอง มีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ประสบการณ์โดยการพูดคุยกับผู้ประกอบอาชีพเดียวกัน
1.3 การเตรียมดิน
ใช้วิธีการตากดินเพื่อฆ่าเชื้อโรค การปลูกโดยยึดรูปแบบของการปลูก เรียนแบบธรรมชาติ
ไม่ใช้ปุ๋ยเคมี มีการพรวนดินรอบโคนต้น ตัดหญ้าแล้วไม่เก็บเศษหญ้าปล่อยไว้เพื่อให้ย่อยสลายเป็นปุ๋ย
1.4 การเตรียมทุน
ดำเนินการโดยการจัดทำบัญชีรายรับรายจ่าย ทุนที่ใช้ในการประกอบอาชีพโดยการขาย
ผลผลิตที่มีอยู่ แล้วค่อย ๆ ปลูกเพิ่มจนเต็มพื้นที่ ค่ายใช้จ่ายส่วนใหญ่เป็นค่าน้ำมันเครื่องตัดหญ้า ค่าไฟรดน้ำต้นไม้ ค่าปุ๋ยคอก ค่าต้นพันในการปลูกครั้งแรก
1.5 การเตรียมต้นพันธุ์
โดยการขยายพันธุ์จากการปักชำและการเพาะเมล็ด การใช้ต้นพันธุ์จาการเพาะเมล็ดจะทำให้ต้นไม้มีความแข็งแรงเก็บผลผลิตได้สูง มีความอดทนจากภัยธรรมชาติ ต้นพันธุ์บางชนิดต้องซื้อมาเพราะขยายพันธุ์เองไม่ได้เพราะเป็นไม้จากต่างถิ่น
1.6 การเตรียมแหล่งน้ำ
โดยใช้แหล่งน้ำจากธรรมชาติ เช่นน้ำฝน และน้ำจากแม่น้ำบ้านนา
2. ขั้นปฏิบัติ
2.1วิธีการปลูก
ใช้ระยะห่างระหว่างต้น 1 เมตร เพื่อสะดวกในการดูแล การตัดหญ้า การเก็บผลผลิต ทำให้
ต้นไม้ได้รับแสงแดดอย่างทั่วถึง ใช้ปุ๋ยธรรมชาติในการเตรียมดิน
2.2 การดูแลรักษา
ใช้สารชีวภาพกรณีที่มีแมลงรบกวน และมีการตัดแต่งกิ่ง เป็นประจำเพื่อไม่ให้ต้นพันธุ์สูงมากลำบากในการเก็บผลผลิต ใส่ปุ๋ยคอก เช่น มูลไก่
2.3 การเก็บผลผลิต
การเก็บผลผลิตจะเก็บในช่วงเช้า และตอนกลางวัน นำผลผลิตไปส่งในตอนเย็น การเก็บใบผัก 1 ครั้ง หยุดเก็บไป 1 สัปดาห์ เพื่อให้ยอดผักแตกใบอ่อนออกมาใหม่ แล้วเก็บใหม่ วิธีการเก็บผลผลิต ใช้แบ่งพื้นที่ในการเก็บหมุนเวียนไปเพื่อให้สามารถเก็บผลผลิตได้ทุกวัน
3. การตลาด
ผลผลิตที่เก็บได้สามารถนำไปส่งขายตลาด ได้แก่ ตลาดโรงเรียนเตรียมทหาร ตลาดสดวัดสมอ และมีพ่อค้าเข้ามารับในสวน ผลผลิตส่วนใหญ่ นำส่งไปขายในกรุงเทพฯ และตามร้านอาหาร ราคาผลผลิตขายส่งเฉลี่ย กำละ 2 บาท ขึ้นอยู่กับชนิดของใบผัก
4. ปัญหาและอุปสรรค
ปัญหาที่พบ ได้แก่ผลผลิตราคาต่ำ ในช่วงที่มีผลผลิตออกมามากและปัญหาในเรื่องของแมลงรบกวนในบางช่วง การแก้ไขโดยการใช้สารชีวภาพ
กระบวนการเรียนรู้
1. เรียนรู้จากการศึกษาเอกสารหลักสูตร
2. เรียนรู้จากการถ่ายทอดของภูมิปัญญา
3. เรียนรู้จากแหล่งเรียนรู้จริง
4. เรียนรู้จากการลงมือทำ
5. เรียนรู้แบบบูรณาการ จากข้อ 1-4
เข้าชม : 4444 |